การดื้อยาต้านจุลชีพ (AMR) ท้าทายให้เกิดการค้นคว้าและปรับใช้ยาปฏิชีวนะแบบใหม่กับแบคทีเรีย ภัยจากการติดเชื้อดื้อยาที่เพิ่มขึ้นยิ่งขยายความท้าทายนี้ให้ทวีขึ้นไปอีก ซึ่งทําให้การเกษตรต้องลดการมีส่วนที่ทำให้เกิด AMR ให้น้อยลงเท่าที่จะทำได้

บทบาทของสัตว์ปีกใน AMR

ไก่และไข่ ซึ่งมีความอเนกประสงค์และมีโปรตีนสูง เป็นวัตถุดิบหลักในอาหารหลายมื้อ ทําให้สัตว์ปีกเป็นหนึ่งในเนื้อสัตว์ที่มีการบริโภคมากที่สุดทั่วโลก ภายในปี ค.ศ. 2032 การบริโภคสัตว์ปีกทั้งหมดคาดว่าจะสูงถึง 100 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม ไก่ดิบและไข่สามารถเป็นแหล่งกักเก็บเชื้อโรค เช่น Campylobacter, Salmonella และ Clostridium perfringens ซึ่งก่อให้เกิดโรคที่เกิดจากอาหาร แบคทีเรียเหล่านี้สามารถปนเปื้อนผลิตภัณฑ์อาหารในระหว่างการฆ่าและการแปรรูป ทำให้เกิดปัญหาด้านสาธารณสุขที่สําคัญ

แต่เดิม มีการใช้ยาต้านจุลชีพเพื่อจัดการกับเชื้อโรคเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การใช้วิธีจัดการนี้แบบไม่ถูกต้องและมากเกินไปได้เร่งการเกิดขึ้นของ AMR ซึ่งแบคทีเรียดื้อยาและยีนที่ทําให้เกิดการดื้อยานั้น สามารถแพร่กระจายจากสัตว์ที่เป็นอาหารไปยังมนุษย์ผ่านมาตามห่วงโซ่อาหาร

AMR เป็นหนึ่งในสิบภัยคุกคามอันดับต้น ๆ ต่อสุขภาพของประชากรโลก ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต 4.95 ล้านคนต่อปี และอาจเพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านคนต่อปี ภายในปี 2050 นอกจากนี้ AMR ยังสร้างภาระให้กับระบบการดูแลสุขภาพในทางเศรษฐกิจ องค์กรบริการสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักรต้องเสียค่าใช้จ่าย 180 ล้านปอนด์ต่อปี (229 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ สำหรับสหรัฐฯ ต้องเสีย 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นเงิน 2 หมื่นล้านดอลลาร์ สําหรับการดูแลสุขภาพ และ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ สําหรับการสูญเสียผลผลิต

สร้างความตระหนักรู้และลดการใช้ยาปฏิชีวนะ

ความตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับ AMR ทําให้หลายประเทศห้ามใช้ยาปฏิชีวนะที่ใช้เร่งการเจริญเติบโตในอาหารสัตว์ แม้จะมีการสั่งห้าม แต่อัตราการดื้อยาก็ยังคงสูง ตัวอย่างเช่น รายงานล่าสุดของสหภาพยุโรป (ค.ศ.2021–22) เน้นยํ้าถึงข้อเท็จจริงที่ว่าแบคทีเรียที่พบในไก่ ไก่งวง และแม่ไก่ มีการดื้อต่อยาปฏิชีวนะที่ใช้กันทั่วไปที่เรียกว่า ฟลูออโรควิโนโลน (fluoroquinolone)

แนวทางการต่อสู้กับ AMR ในการผลิตสัตว์ปีก ได้แก่:

•         ปรับปรุงการจัดการด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ สุขาภิบาล และการจัดการของเสีย

•         ลดการใช้ยาปฏิชีวนะภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์

•         การเลิกใช้ยาปฏิชีวนะที่ใช้กระตุ้นการเจริญเติบโต

•         โปรแกรมการฉีดวัคซีนที่เข้มงวด การเฝ้าระวังโรค และการควบคุมพาหะ

•         โภชนาการที่ดี

•         การใช้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกแทนการใช้ยาปฏิชีวนะ และการปรับปรุงสุขภาพลําไส้ของสัตว์

แก้ปัญหาด้วยนวัตกรรมใหม่: Mannan-rich fraction (MRF)

ผลิตภัณฑ์ทางเลือกเพื่อใช้แทนยาปฏิชีวนะมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงสุขภาพลําไส้และไมโครไบโอมของสัตว์ Mannan-rich fraction (MRF) ซึ่งได้มาจากผนังเซลล์ยีสต์ จะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพและสุขภาพของสัตว์ปีกโดย ช่วยปรับเปลี่ยนไมโครไบโอมให้เหมาะสม, จับแบคทีเรียที่ทําให้เกิดโรค และช่วยส่งเสริมสุขภาพลําไส้

การวิจัยล่าสุดยังแสดงให้เห็นว่า MRF มีผลต่อความไวต่อยาปฏิชีวนะของแบคทีเรีย การศึกษา (Smith et al., 2017; 2020; 2022) แสดงให้เห็นว่า MRF ช่วยลดการเจริญเติบโตของ E. coli  ที่ดื้อยาปฏิชีวนะ 46% และลดลง 73% เมื่อใช้ร่วมกับยาปฏิชีวนะ (แอมพิซิลลิน) ผลลัพธ์นี้เกิดขึ้นจากการที่ MRF ไปเพิ่มโปรตีนบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตพลังงาน และทำให้มีการผลิตอนุมูลอิสระของออกซิเจนที่ไวต่อการเกิดปฏิกิริยา (Reactive Oxygen Species, ROS) ที่เป็นอันตรายในแบคทีเรีย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้การฆ่าเชื้อแบคทีเรียมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเปลี่ยนแปลงวิธีที่แบคทีเรียตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ

แนวทางแบบองค์รวมเพื่อความปลอดภัยของอาหาร

เนื่องจากไก่และไข่เป็นวัตถุดิบหลักของอาหารหลายชนิด การรับรองความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกจึงเป็นสิ่งสําคัญอย่างยิ่ง การลดการติดเชื้อที่เกิดจากอาหารจากเชื้อ Salmonella, Campylobacter และ E. coli  สามารถลดอัตราการเสียชีวิต บรรเทาภาระทางเศรษฐกิจ และลดการแพร่กระจายของ AMR จากการเกษตรสู่มนุษย์

การนําแนวทางแบบองค์รวมมาใช้เพื่อความปลอดภัยของอาหารในการผลิตสัตว์ปีกเป็นสิ่งสําคัญ โซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่เช่น MRF จะช่วยลดความชุกของแบคทีเรียดื้อยา ทําให้ยาปฏิชีวนะมีความจําเป็นน้อยลง และเพิ่มประสิทธิภาพของยาฯ เมื่อจําเป็นต้องใช้ แนวทางนี้จะช่วยให้ภาคการเกษตรลดการมีส่วนร่วมต่อการเกิด AMR ซึ่งจะช่วยปกป้องสุขภาพของประชาชนในท้ายที่สุด

________________________________________

เกี่ยวกับผู้เขียน:

ดร. แฮร์เรียท วอล์คเกอร์ (Dr. Harriet Walker) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ปีกของ Alltech® Technology Group ในบทบาทนี้เธอให้การสนับสนุนด้านเทคนิคแก่พนักงานขาย นอกจากนั้นยังช่วยสนับสนุนและวิเคราะห์ผลจากการวิจัยสัตว์ปีก โดยมุ่งเน้นไปที่การจัดหาโซลูชั่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของสัตว์

ก่อนที่จะรับหน้าที่นี้ ดร.แฮร์เรียททํางานในอุตสาหกรรมในฐานะนักโภชนาการสัตว์ปีก ซึ่งมุ่งพัฒนาฐานความรู้ด้านโภชนาการและทางเทคนิค เธอมีประสบการณ์มากมายในด้านโภชนาการและการจัดการสัตว์ปีกหลายประเภท ในฟาร์มหลายขนาด

ดร.แฮร์เรียท สําเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ที่ Nottingham Trent University ในปี 2013 ในหัวข้อการประเมินสุขภาพลําไส้และประสิทธิภาพของไก่เนื้อเมื่อให้อาหารเสริมเพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะ ก่อนหน้านั้นเธอได้ศึกษาด้านสัตวศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยนอตติงแฮม ซึ่งเธอได้ทําวิทยานิพนธ์ด้านโภชนาการสัตว์ปีกในปี 2009

À medida que a produção de tilápias aumentou a partir da década de 1990, com grande aceleração na produção nos últimos 10 anos no Brasil, intensificou-se a busca por fontes alternativas de proteína para reduzir o custo de formulação e produção de tilápias. Atualmente, o farelo de soja é a fonte proteica de origem vegetal mais utilizada na formulação de rações para tilápias. No entanto, a soja possui diversos fatores antinutricionais, com destaque para o ácido fítico, que interferem negativamente na utilização de minerais. Esse antagonismo é ainda maior para aqueles microminerais com carga positiva - como o zinco, ferro, cobre e manganês, importantes para o desempenho e saúde dos peixes. Outros alimentos de origem vegetal com níveis elevados de ácido fítico são utilizados na formulação, como o farelo de trigo.

Diante da grande possibilidade de interações entre os minerais, aminoácidos, vitaminas, enzimas e compostos antioxidantes, geram-se incertezas sobre a concentração de minerais da ração verdadeiramente disponível para absorção. Os minerais de fontes inorgânicas foram e ainda continuam sendo utilizados em grande escala em rações para tilápias. No entanto, quando se deseja aproximar do conceito de nutrição de precisão é fundamental conhecer a biodisponibilidade dos minerais ofertados aos peixes.

A baixa disponibilidade dietética, além de influenciar o desempenho e saúde dos peixes, também impacta o ambiente. É crescente a preocupação com a excreção de minerais não absorvidos pelos peixes no ambiente e seus impactos na qualidade da água, principalmente o fósforo. Outros minerais, como o zinco, manganês e cobre, também devem ser considerados sob o ponto de vista de sustentabilidade.

Neste artigo, apresentaremos a importância da utilização de minerais proteinatos e levedura enriquecida com selênio para maior precisão no atendimento das exigências dietéticas dos peixes, assim como as vantagens sobre a rentabilidade associada à melhora dos índices zootécnicos e para uma aquicultura mais sustentável (Figura 1).

Figura 1. Temáticas a serem abordadas no artigo.

O desejo por uma produção aquícola mais sustentável impulsiona mudanças na nutrição dos peixes

O consumo de peixes e frutos do mar apresentou um impressionante aumento de mais de cinco vezes nos últimos 60 anos, segundo a FAO (Food and Agriculture Organization of the United Nations). O órgão também estima que a produção em 2030 chegue a 200 milhões de toneladas a nível mundial (com a produção majoritária via aquicultura) e que a aquicultura brasileira apresente um aumento de cerca de 19% até 2030, em comparação a 2020.

Neste cenário de crescente expansão, somam-se os esforços mundiais para atingir o 14º Objetivo de Desenvolvimento Sustentável: Vida na Água. Desse modo, a pressão internacional para exportação de tilápias criadas seguindo os princípios de sustentabilidade será cada vez maior nos próximos anos – exigindo a busca por soluções para conseguir uma aquicultura lucrativa com interação harmônica a longo prazo com o ecossistema e as comunidades locais. Como alternativa, os minerais Bioplex® e Sel-PlexTM foram elaborados com biotecnologias para otimizar a precisão na formulação de rações, contribuindo para uma piscicultura lucrativa e mais sustentável. 

Nem todo mineral orgânico é igual

Minerais orgânicos são reconhecidos globalmente como uma fonte mineral mais biodisponível do que seus homólogos inorgânicos. Existem muitas fórmulas de produção deste composto no mercado, genericamente denominadas “minerais orgânicos” por estarem associados a alguma molécula dita orgânica para se tornarem biologicamente estáveis. O processo de complexar ou quelatar elementos como cobre, ferro ou zinco costuma envolver a reação de sais minerais inorgânicos com um grupo de ligação adequado, como peptídeos ou aminoácidos, e os resultados dos diferentes processos influenciam na capacidade de manutenção dessa ligação.

The renowned KEENAN MechFiber diet feeder is one of the most prolific diet feeders in Europe. The machine was pioneered in the early 1980’s (then named the ‘Easi-feeder’), with a belief that rumen health is the foundation to overall health, efficiency and performance.

With rumen health hugely dependent on the physical presentation of the ration, the KEENAN MechFiber diet feeder is engineered to consistently protect fibre and deliver an ‘open’ and evenly distributed ration.

This is largely derived from the specialist mixing action, including a precise blade configuration in the chamber and on the paddle castellations that ‘scissor-chops’ fibres into precise lengths to promote ‘scratch factor’ in the rumen. The horizontal turning action utilises gravity to gently tumble and distribute feed ingredients without any ‘dead spots’. The signature secondary feed-out chamber takes a uniform cross-segment of the ration, rapidly delivering a consistent feed-out from start to finish.

All KEENAN diet feeders can be fitted with the InTouch feed management system - made up of a control unit, a mobile app, and a technical feeding support network - for ultimate support and control over the ration from anywhere and at any time.

KEENAN is reputed for reliable build-strength and service support. While the machine design is complex, the engineering is simple running the machine without any gear boxes or elevators at a lower RPM which consumes much less fuel.

Independent research, coupled with sample data from 24,450 dry cows on 277 farms, has proven the KEENAN MechFiber effect on cow health and performance:

• 53% reduction in assisted calvings

• 57% reduction in retained cleansings

• 75% reduction in milk fever

• 85% reduction in displaced abomasum’s

• 79% reduction in ketosis

• 16% more milk from feed

For over five years, the KEENAN MechFiber remains the only diet feeder validated by the Carbon Trust that can reduce methane emission on-farm by increasing feed efficiency.

- ends -

Issued by: Rebecca Kirk, Way2Grow Marketing Ltd

E: rebecca@way2grow.co.uk | T: 07538 935386

- ends -

Notes to editor

About Alltech:

Founded in 1980 by Irish entrepreneur and scientist Dr. Pearse Lyons, Alltech delivers smarter, more sustainable solutions for agriculture. Our diverse portfolio of products and services improves the health and performance of plants and animals, resulting in better nutrition for all and a decreased environmental impact.

We are a global leader in the agriculture industry. Our team produces specialty ingredients, premix supplements, feed, and biologicals, backed by science and an unparalleled platform of services.

Strengthened by more than 40 years of scientific research, we carry forward a legacy of innovation and a unique culture that views challenges through an entrepreneurial lens. As a private, family-owned company, we adapt quickly to our customers’ needs and focus on advanced innovation. 

We believe agriculture has the greatest potential to shape the future of our planet. Our more than 5,000 talented team members worldwide share our purpose of Working Together for a Planet of Plenty™. Together, we can provide nutrition for all, revitalize local economies, and replenish the planet’s natural resources. 

Headquartered just outside of Lexington, Kentucky, USA, Alltech serves customers in more than 120 countries, has five bioscience centres, and operates more than 80 manufacturing facilities across the globe.

For more information, visit alltech.com, or join the conversation on Facebook, Twitter and LinkedIn.

About InTouch:

InTouch is an advanced feed management system designed to continually improve feed conversion efficiency, margin from feed, and all-round sustainability on dairy, beef, and sheep farms from across the globe.

The toolkit is made up of a control unit, a mobile App, and an online dashboard, and is driven and supported by a specialist team missioned to improve feeding accuracy and optimise Total Mixed Ration (TMR) performance.

In conjunction with the Education and Training Board we are seeking candidates for an apprenticeship in Sheet Metalworking. Sheet metalworkers learn many skills from working with a variety of specialised tools to interpreting technical drawings and diagrams.

Working with KEENAN in phase 1 of the apprenticeship will help build confidence and candidates will get hands-on experience in the basic skills. KEENAN prides itself on being a supportive environment for those who would like a different kind of learning environment.

For more information click here to view the information booklet. Or contact Michael Carbery in KEENAN on mcarbery@alltech.com.

Apply before end September.

Los resultados del estudio también indican que las micotoxinas pueden afectar negativamente el peso corporal, la producción de huevo y el peso de los huevos en las gallinas ponedoras.  

[Dunboyne, Irlanda] Un nuevo metaanálisis de Alltech destaca los importantes efectos positivos de una suplementación con el extracto de la pared celular de la levadura sobre el desempeño de ponedoras durante una exposición a micotoxinas.

Publicado en marzo de 2024 en la revista científica Toxins, el “Metaanálisis de los efectos de una suplementación con el extracto de la pared celular de la levadura sobre el desempeño de ponedoras durante una exposición a micotoxinas" demostró que la inclusión en las dietas del extracto de la pared celular de la levadura de Mycosorb® durante un desafío con micotoxinas dio como resultado un aumento en el peso corporal de los animales de 12.5 gramos y un incremento significativo en la producción y en el peso de los huevos de 4.2 puntos porcentuales y 1.37 gramos, respectivamente.

Este metaanálisis demostró que las gallinas ponedoras que estuvieron expuestas a micotoxinas presentaron un menor peso corporal (-50 g), una disminución de la producción de huevos (- 6.3 puntos porcentuales) y una reducción del peso de los huevos (- 1.95 g) en comparación con las aves alimentadas con la dieta control. El análisis económico indicó que la inclusión del extracto de la pared celular de la levadura no solo mejoró el desempeño animal, sino que también dio como resultado un retorno de la inversión positivo.

Basándose en los resultados de este metaanálisis, se realizaron cálculos de producción y rentabilidad que dio como resultado:

• + 2.7 huevos por gallina alojada durante un período de 9.5 semanas.
• + 29.7 gramos de producción de proteína comestible por gallina alojada.
• Retorno de la inversión de 4.65:1.  

“A nivel científico, esta es la primera vez que se lleva a cabo un metaanálisis de gallinas ponedoras que analiza el impacto no solo de las micotoxinas, sino también de la adopción de una estrategia de mitigación de los efectos de una contaminación; en lo que respecta a los parámetros clave de desempeño”, señaló la Dra. Alexandra Weaver (soporte técnico global de Alltech).

Este metaanálisis evaluó un total de 25 estudios y se extrajeron los datos de 8 de ellos que cumplieron con los criterios de selección. Estos estudios representaron un total de 12 tratamientos que involucraron a 1774 gallinas ponedoras. El metaanálisis confirma que la presencia de micotoxinas tuvo un impacto sobre el peso corporal, y sobre la producción y el peso de los huevos. Y que la inclusión en las dietas del extracto de la pared celular de la levadura mitigó sus efectos sobre la producción y la calidad de los huevos; incluso con la exposición de los animales a altos niveles de micotoxinas.

Por lo que el uso del extracto de la pared celular de la levadura puede contribuir con aumentar la producción de proteína comestible e incrementar la rentabilidad de una granja durante un desafío a las micotoxinas. 

En general, el metaanálisis destaca la importancia de abordar el desafío de las micotoxinas en la producción de ponedoras y el papel que puede desempeñar el  extracto de la pared celular de la levadura en la mitigación de sus efectos y en la mejora de la rentabilidad.

Respaldada por más de 40 años de investigación científica, Alltech ofrece soluciones nutricionales que contribuyen con el éxito de la industria mundial de la salud animal. Este nuevo metaanálisis es un ejemplo del compromiso continuo de la compañía por ofrecer tecnologías más inteligentes y sostenibles para la producción animal; que brinden beneficios para la salud al tiempo que ayuden a aumentar la productividad, mejorar el bienestar animal, reducir el impacto ambiental e incrementar la rentabilidad de los productores.

Para leer este nuevo metaanálisis sobre los efectos del extracto de la pared celular de la levadura en la producción de gallinas ponedoras haga clic aquí. Para más información sobre el programa de Manejo de Micotoxinas de Alltech haga clic aquí.

Tecnologia natural exclusiva apresentada no 39º Congresso Brasileiro de Nematologia, em Foz do Iguaçu (PR), Reli3ver tem eficácia comprovada em diferentes culturas

Produtores agrícolas brasileiros contam com uma tecnologia biológica inovadora para enfrentar o desafio do manejo de nematoides. Esses parasitas atacam as raízes das plantas e causam lesões que destroem o tecido radicular, possibilitando a entrada de fungos e bactérias, que potencializam os danos e, consequentemente, reduzem a produtividade. Os nematoides são considerados um dos principais patógenos na agricultura, pois provocam perdas médias de 10 a 15% na produção, que podem ultrapassar 50% em culturas como soja e algodão.

Fruto de pesquisa científica e com eficácia comprovada em diversas culturas, como soja, milho, café e hortifrúti, a Alltech Crop Science lança o Reli3ver no 39º Congresso Brasileiro de Nematologia, de 1º a 5 de setembro, em Foz do Iguaçu (PR). Desenvolvido a partir de uma cepa exclusiva da Alltech da bactéria Bacillus subtilis, o bionematicida contribui para o manejo de nematoides e para o equilíbrio do solo, além de estimular o desenvolvimento das plantas.

“Rodei bastante nos últimos meses pelo Brasil todo e uma questão constantemente apontada pelos produtores é a presença dos nematoides, que são porta de entrada para doenças de solo, como fungos, que agravam o quadro”, relata a engenheira agrônoma, pesquisadora da área de Proteção de Plantas do Instituto de Desenvolvimento Rural do Paraná (IDR-Paraná), professora de Fitopatologia da UEL-IDR e pós-doutora em Nematologia, Andressa Cristina Zamboni Machado.

A especialista frisa que a incidência de nematoides tem aumentado de Norte a Sul do país. “Em 2010, quando começaram os levantamentos, o problema era mais evidente no Cerrado; mas hoje já vi muitos casos no Sul e em áreas novas de produção, como Piauí, Maranhão e Rondônia”, observa. Na última safra, salienta Andressa, o clima desfavorável evidenciou ainda mais a problemática e fez com que os produtores visualizassem os danos ocasionados por nematoides mesmo em áreas com ótimas condições de solo.

Segundo a Sociedade Brasileira de Nematologia (SBN), a perda por nematoides nos últimos dez anos foi de R$ 374 bilhões. A entidade estima que os prejuízos totais à agricultura nacional podem atingir R$ 870 bilhões nos próximos dez anos - equivalente a uma safra inteira por década - caso medidas eficazes não sejam adotadas. “O que o produtor mais tem buscado para o manejo dos nematoides é o controle biológico, devido à eficiência de produtos cada vez melhores, com formulações modernas, que, além da redução da população de nematoides, oferecem outros benefícios à planta, como melhor enraizamento e maior produtividade. É um mercado que veio para ficar e só tem a crescer no Brasil”, analisa a nematologista.

Manejo integrado

Por se tratar de um desafio muito grande, com algumas espécies de nematoides bem agressivas, o foco para o controle é o manejo integrado, destaca a engenheira agrônoma Mayra Soares, doutora em Proteção de Plantas com foco em Nematologia e gerente técnica da Alltech Crop Science. “Os principais nematoides são nativos do solo e cada vez mais têm se tornado um problema devido à sua forma de multiplicação muito rápida”, pondera.

Conforme a especialista, o manejo correto começa pela escolha da cultivar. “Em áreas com grande quantidade de nematoides, o produtor precisa focar na resistência (baixo fator de multiplicação) e não apenas na produtividade”, indica. Além disso, cita, que em altas populações de nematoides, é recomendável usar moléculas químicas ou enzimáticas, em conjunto com os bionematicidas, para reduzir a quantidade de patógenos no solo.

Tecnologia exclusiva

Entre os biológicos disponíveis para controle de nematoides, o diferencial da nova solução da Alltech é a construção do produto. “Além da cepa exclusiva da bactéria Bacillus subtilis da empresa, o Reli3ver tem uma combinação única: 100% endósporo, liofilizado e com lactose. A tecnologia R3V resume os aspectos do nematicida microbiológico: Resistência, Eficiência e Viabilidade”, detalha Mayra.

O endósporo é uma estrutura bacteriana de resistência que o torna tolerante a ambientes e condições adversas. Por sua vez, a liofilização consiste em retirar água do microrganismo e deixá-lo latente até ser reidratado, o que assegura alta viabilidade de armazenamento. Enquanto a lactose é uma fonte energética, que garante o material orgânico necessário para alimentar o microrganismo mesmo em situações adversas de solo ou clima. Como ferramenta preventiva, a recomendação é usar o Reli3ver na fase inicial do plantio, seja no sulco ou via "Plante e Aplique", visando sempre o solo.

Resultados de campo

Os resultados disponíveis comprovam a eficácia do Reli3ver em diferentes culturas. Trabalho de campo realizado na cultura da soja, em parceria com a UEM em Maringá, aponta que plantas inoculadas com Meloidogyne incógnita apresentaram melhor crescimento e desenvolvimento do sistema radicular quando utilizado o novo nematicida microbiológico. A massa fresca de raiz de plantas inoculadas após 60 dias foi de 8,2 g sem aplicação de produtos biológicos e de 10,2 g com o Reli3ver.

Já na cultura do tomate, estudos realizados em Tibagi e Imbituva (PR) revelam que a aplicação de Reli3ver contribuiu para uma redução de Meloidogyne incógnita no solo de 44% em relação à testemunha e um incremento de produtividade de 1.515 kg/ha. Enquanto para a cultura de alface, estudo realizado em Colorado (PR) mostrou queda de 62,5% na população de nematoides nos primeiros 15 dias, após aplicação do produto.